ผู้เขียน: world2502
อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านแล้ว ..หุ้นดิ่งเหว น้ำมันพุ่ง..หวั่นนิวเคลียร์
สถานการณ์ตะวันออกกลางระอุอีกครั้ง ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาสื่อสหรัฐฯ ระบุว่า อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่าน และอิหร่านได้ยิงสกัดการโจมตีพร้อมสั่งปิดน่านฟ้า เปิดระบบป้องกันภัยทางอากาศในหลายเมือง ล่าสุดกองทัพอิสราเอลเปิดสัญญาณเตือนภัยทางตอนเหนือประเทศร่วมด้วย..
วันนี้ (19 เม.ย.2567) สำนักข่าวท้องถิ่นอิหร่าน รายงานว่า อิหร่านยิงสกัดการโจมตีทางอากาศในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น โดยยิงสกัดโดรนตกหลายลำ หลังจากมีเสียงระเบิดดังขึ้น ใกล้กับเมืองอิสฟาฮานทางตอนกลางของประเทศ ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศหลักของกองทัพอิหร่าน ไปจนถึงสถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ล่าสุดมีรายงานว่า โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับนิวเคลียร์ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ..
ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คน เปิดเผยว่า อิสราเอลได้ยิงขีปนาวุธโจมตีอิหร่าน หลังจากก่อนหน้านี้มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าอิสราเอลแจ้งแผนการโจมตีโต้กลับอิหร่านแล้วตั้งแต่วันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น (18 เม.ย.2567) แต่สหรัฐฯ ไม่เห็นชอบกับท่าทีดังกล่าว
ขณะที่สื่อทางการอิหร่าน รายงานว่า พบโดรน 3 ลำเหนือน่านฟ้าเมืองอิสฟาฮาน เมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง ตามเวลาท้องถิ่น
เว็บไซต์ติดตามการบิน Flightradar24 ในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาท้องถิ่นในอิหร่าน แสดงให้เห็นเที่ยวบินที่เปลี่ยนเส้นทางออกจากน่านฟ้าเหนืออิหร่าน ขณะที่สื่อทางการอิหร่าน รายงานว่า ได้สั่งระงับการบินเหนือน่านฟ้าเมืองอิสฟาฮาน ชีราซ และกรุงเตหะรานแล้ว
นอกจากนี้ อิหร่านยังเปิดระบบป้องกันภัยทางอากาศในหลายเมือง ซึ่งอิสราเอลยังไม่ออกมาให้ข้อมูลใดๆ ในประเด็นการโจมตีโต้กลับอิหร่าน
อิหร่านขู่อิสราเอลเตรียมเอาคืนอย่างสาหัส
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีขึ้นเพียงไม่นาน หลัง รมว.ต่างประเทศของอิหร่าน เตือนอิสราเอลในระหว่างการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่า อิสราเอลจะต้องยุติการใช้ปฏิบัติการทางทหารที่มีความเสี่ยงต่อผลประโยชน์ของอิหร่าน และก่อนหน้านี้ อิบราฮิม ราอีซี ปธน.อิหร่าน เตือนว่าหากอิสราเอลตอบโต้การโจมตีของอิหร่านเพียงเล็กน้อย จะต้องเผชิญการโต้ตอบกลับอย่างเจ็บปวดและสาหัส
ความรุนแรงครั้งล่าสุดสร้างความกังวลให้นานาชาติที่พยายามเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้น เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางรุนแรงไปมากกว่านี้
แต่ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกฯ อิสราเอล ยืนยันก่อนหน้านี้ว่า อิสราเอลจะตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องตัวเอง.
cr:https://www.thaipbs.or.th/news/content/339175
ควันหลงจากวันที่13นี้ อิหร่านโจมตี /อิสราเอลเสียค่าจรวดป้องกันประมาณ4หมื่นล้านบาท
อิหร่าน เผยค่าใช้จ่าย #ขีปนาวุธ ยิงใส่อิสราเอลโดยประมาณจากปฏิบัติการเมื่อคืนนี้:..
ขีปนาวุธ 110 ลูก: 30-50 ล้านดอลลาร์
ขีปนาวุธร่อน 45 ลูก: 4-7 ล้านดอลลาร์
ชาเฮด-136: 4-5 ล้านดอลลาร์
รวม: 62 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ2พันล้านบาท)
ส่วนฝ่ายอิสราเอลใช้เงิน 1.1 พันล้านดอลล่าร์ในการปกป้อง (ประมาณ4หมื่นล้านบาท)
อิหร่านเริ่มโจมตีอิสราเอลแล้วด้วยโดรนและขีปนาวุธจำนวนมาก #war #iran #israel
อิหร่านเริ่มโจมตีอิสราเอลแล้วด้วยโดรนและขีปนาวุธจำนวนมาก #war #iran #israel
จับตา “อิหร่าน” เปิดฉากยิงโดรนและขีปนาวุธเกือบ 200 ลูกใส่อิสราเอลเช้านี้ (14 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อเตือนและตอบโต้กรณีถูกทิ้งระเบิดโจมตีสถานกงสุลอิหร่านทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน
วันนี้ (14 เม.ย.2567) สำนักข่าว BBC รายงานว่าเมื่อเวลา 03.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น เกิดสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังอิหร่านตอบโต้อิสราเอลด้วยการยิงโดรน และขีปนาวุธเกือบ 200 ลำใส่อิสราเอล ซึ่งถือเป็นการเปิดฉากโจมตีครั้งแรก เพื่อตอบโต้สถานกงสุลอิหร่านในกรุงดามัสกัสของซีเรีย ถูกทิ้งระเบิดโจมตีเมื่อวันที่ 1 เม.ย.จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน..
เหนือท้องฟ้าในเมืองเฮบรอน ดินแดนปาเลสไตน์ ระหว่างการโจมตีของอิหร่านต่ออิสราเอลที่ AFPTV ถ่ายได้แสดงให้เห็นการระเบิดที่ส่องสว่างบนท้องฟ้าในในอิสราเอล ท่ามกลางเสียงไซเรนดังขึ้น ขณะที่วัตถุนับสิบลูกถูกสกัดกั้นโดยระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลถูกยิงตกนอกอาณาเขต
ขณะที่ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ระบุว่ากองทัพพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ทั้งนี้อิสราเอลสั่งปิดน่านฟ้า เพื่อรับมือกับการโจมตีของอิหร่านครั้งนี้ รวมทั้งประเทศจอร์แดน เลบานอน และอิรัก ได้ประกาศปิดน่านฟ้า เช่นเดียวกัน
ความเคลื่อนไหวของอิหร่านในการพุ่งเป้าโจมตีดินแดนของอิสราเอล ถือเป็นการเปิดปฏิบัติการโจมตีอิสราเอลอย่างเต็มรูปแบบครั้งแรก อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าอิหร่าน จะไม่ทำการโจมตีเพิ่มเติม แต่เป็นการเตือนเรื่องการตอบโต้ของอิสราเอลหรือการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ที่มีการยิงโดรนใส่สถานกงสุล เนื่องจากการโจมตีสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลของประเทศใดก็ตามไม่ต่างจากการพุ่งเป้าโจมตีแผ่นดินของประเทศนั้นโดยตรง
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ประธานธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐ คาดว่าอิหร่านจะโจมตีอิสราเอลไม่ช้าก็เร็ว พร้อมกับเตือนไม่ให้อิหร่านดำเนินการดังกล่าว พร้อมย้ำความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่จะปกป้องอิสราเอล โดยไบเดน จัดการประชุมเร่งด่วนกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงของเขาเกี่ยวกับวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง..
เศรษฐา สั่งเกาะติด-พร้อมอพยพคนไทย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง มีถึงประชาชน โดยได้สั่งการ และประกาศเตือนประชาชนคนไทย หลังเหตุความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศมีความเป็นห่วงพี่น้องคนไทยในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรง จึงได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตในภูมิภาคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้จัดทำประกาศแจ้งเตือนคนไทยให้เตรียมความพร้อม รวมถึงแนวปฏิบัติในภาวะฉุกเฉินด้วยแล้ว โดยขอให้พี่น้องคนไทยตื่นตัว และติดตามการประกาศและการแจ้งเตือนต่าง ๆ ของสถานทูตไทยในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด
ขอให้ประชาชนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่ดังกล่าว หากไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในกรณีฉุกเฉินพี่น้องคนไทยสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือเร่งด่วนได้ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศต่าง ๆ ทุกแห่ง..
สถานีโทรทัศน์ช่อง 12 ของอิสราเอล รายงานว่า เครื่องบินรบของสหรัฐฯ และอังกฤษมีส่วนร่วมในการยิงสกัดโดรนที่มุ่งหน้ามายังอิสราเอล ตกเหนือพื้นที่ชายแดนอิรัก-ซีเรียเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 3 คนกล่าวว่ากองทัพสหรัฐฯ ยิงเครื่องบินโดรนตกโดยไม่บอกว่ามีจำนวนกี่ลำ
พลเรือตรีแดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวว่า “นี่เป็นการยกระดับการโจมตีที่รุนแรงและอันตราย ความสามารถในการป้องกันและรุกของเราอยู่ในระดับพร้อมสูงสุดก่อนการโจมตีขนาดใหญ่จากอิหร่าน”
cr:https://www.google.com/E0%B8%A7%E0%B8%B8%E0%B..
Donnie,BBC,Iran News
Iron Dome ของอิสราเอล ลงทุนนับหมื่นล้าน ใช้ทำอะไร ?
ในการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ “ฮามาส” ใส่พื้นที่ต่าง ๆ ของอิสราเอลที่ผ่านมา มักจะมาในลักษณะของการยิงปืนใหญ่และจรวดขีปนาวุธเข้ามาในหลักเป็นพัน ๆ ลูก ซึ่งหากมันตกใส่อิสราเอลทั้งหมด สิ่งที่จะเกิดคือความหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย..
หนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่สำคัญที่สุดของอิสราเอลในการป้องกันและสกัดกั้นไม่ให้ขีปนาวุธจากฮามาสตกใส่บ้านเมืองก็คือ ระบบป้องกันขีปนาวุธที่มีชื่อว่า “ไอรอนโดม” (Iron Dome) หรือ “โดมเหล็ก”
ไอรอนโดมมีลักษณะเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศเคลื่อนที่ โดยใน 1 ระบบประกอบด้วย 10 กอง ซึ่งแต่ละกองสามารถบรรทุกเครื่องยิงขีปนาวุธได้ 3-4 เครื่อง..
เมื่อมีการโจมตี กองทัพอิสราเอลจะเคลื่อนตำแหน่งนำไอรอนโดมไปประจำการตามจุดต่าง ๆ ที่มีความได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์ สร้างแนวกำแพงสำหรับป้องกันจรวด กระสุนปืนใหญ่ และโดรน ให้การป้องกันพื้นที่ได้ครอบคลุมถึง 155 ตารางกิโลเมตร
กองทัพอิสราเอล (IDF) เคยกล่าวว่า ไอรอนโดมนั้นมีประสิทธิภาพที่สูงมาก โดยระบบนี้มีอัตราความสำเร็จสูง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งอิสราเอลถูกกลุ่มญิฮาดอิสลามยิงจรวดใส่ ก็สามารถสกัดกั้นได้ถึง 95.6%
การพัฒนาไอรอนโดมเริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่กลุ่มฮามาสขึ้นปกครองพื้นที่ฉนวนกาซาพอดี หลังจากนั้นก็ดำเนินการทดสอบในปี 2008-2009 ก่อนที่ไอรอนโดมชุดแรกจะถูกนำมาใช้งานจริงในปี 2011 และจากนั้นระบบก็ได้รับการอัปเกรดหลายครั้งเรื่อยมา
ไอรอนโดมทำงานอย่างไร?
สำหรับการทำงานของไอรอนโดมนั้น มี 4 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ ตรวจจับ ทำนาย ประเมิน และสกัดกั้น
ในขั้นตอนแรก เรดาร์ของระบบไอรอนโดมจะตรวจจับจรวดที่ยิงเข้ามาภายในระยะ 4-70 กิโลเมตรจากตัวเครื่องยิงสกัดกั้น และส่งข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางของจรวดไปยังศูนย์บัญชาการและควบคุม
ศูนย์ควบคุมจะคำนวณและทำนายตำแหน่ง ว่าวิถีจรวดเป็นอย่างไร หากยิงขีปนาวุธต่อต้าน จะบรรจบกันที่จุดไหน และคาดการณ์ว่า จรวดนั้นจะโจมตีพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่หรือไม่
จากนั้นระบบจะประเมินให้ความสนใจเฉพาะจรวดที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามสูงสุดต่อพื้นที่เมืองและโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อต้องรับมือกับภัยคุกคามหลายจุดพร้อมกัน โดยจะไม่สนใจจรวดที่มีแนวโน้มจะโจมตีพื้นที่ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่หรือในทะเล
สุดท้าย ระบบควบคุมจะเชื่อมต่อกับตัวสั่งการที่จะยิงขีปนาวุธเพื่อทำลายจรวด หากประเมินแล้วว่ามีความสมเหตุสมผลที่จะต้องสกัดกั้น หากจรวดก่อให้เกิดภัยคุกคาม ไอรอนโดมจะยิงขีปนาวุธจากพื้นดินเพื่อทำลายจรวดนั้นขณะอยู่กลางอากาศ
อิสราเอลมีกองไอรอนโดมอยู่ 10 กองทั่วอิสราเอล แต่ละกองมีเครื่องยิงขีปนาวุธ 3-4 เครื่อง สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการติดตั้ง และเครื่องสกัดกั้นขีปนาวุธเองก็มีความคล่องตัวสูง
ทั้งนี้ ไอรอนโดมจะต่างจากระบบป้องกันภัยทางอากาศอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อหยุดขีปนาวุธ เพราะจะกำหนดเป้าหมายไปที่จรวดไม่นำวิถีในระดับความสูงต่ำ ซึ่งเป็นประเภทที่มักใช้โดยกลุ่มติดอาวุธในฉนวนกาซา..
△ค่าใช้จ่ายในการใช้งานไอรอนโดมสูงมาก เพราะขีปนาวุธที่ใช้สกัดกั้นแต่ละลูกมีราคาประมาณ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.4 ล้านบาท) ดังนั้นการสกัดกั้นจรวดที่เข้ามานับพันลูกจึงสร้างภาระทางการเงินให้กับอิราเอลพอสมควร.
สหรัฐฯ เตรียมขายขีปนาวุธให้ไต้หวันเพิ่มอีก 400 ลูก/ลูกละ100ล้าน รวมสี่หมื่นล้าน
‘โดรนพิฆาตShahed’จากอิหร่าน – อาวุธเด็ดของรัสเซียในสงครามยูเครน
อาวุธที่สำคัญชนิดหนึ่งที่รัสเซียใช้ในสงครามรุกรานยูเครน คือโดรนชาเฮด (Shahed) ซึ่งผลิตในอิหร่าน และอาจกลายมาเป็นปัจจัยกำหนดความได้เปรียบในทางรบที่กำลังเกิดขึ้นอย่างดุเดือด..
เนื่องจากเป็นโดรนราคาถูก และติดเทคโนโลยีนำทางเพื่อความแม่นยำ อาวุธชนิดนี้ที่รัสเซียนำมาเปลี่ยนชื่อเป็น เกอราน-2 จึงสามารถนำมาใช้ในปริมาณมาก และได้ชื่อว่า “ขีปนาวุธร่อนของคนจน” ตามรายงานของเอพี
โดรนชาเฮด ที่ติดระเบิดเพื่อการทิ้งตัวทำลายเป้าหมาย มีความคล้ายการโจมตีแบบ “กามิกาเซ่” ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองหรือการพุ่งชนเป้าหมายเพื่อให้เกิดการระเบิดเสียหาย
ข้อมูลของสื่อออนไลน์ยูเครน Defense Express อ้างตัวเลขจากอิหร่านที่ระบุว่า ชาเฮด เป็นโดรนรูปสามเหลี่ยม มีความยาว 3.5 เมตร กว้าง 2.5 เมตร นำ้หนักประมาณ 200 กิโลกรัม
โดรนชนิดนี้ติดเครื่องยนต์ 50 แรงม้า และมีความเร็วสูงสุด 114 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เอพีรายงานว่าราคาของโดรนชาเฮดอยู่ที่ราว 2 หมื่นดอลลาร์ ซึ่งราคาคิดเป็นเศษเสี้ยวของขีปนาวุธเต็มรูปเเบบ อย่างเช่น ขีปนาวุธร่อนรุ่น คาลิเบอร์ (Kalibr) ของกองทัพรัสเซียที่ราคา 1 ล้านดอลลาร์ต่อลูก
ก่อนหน้านี้ รัสเซียใช้ขีปนาวุธร่อนคาลิเบอร์ โจมตียูเครนอย่างกว้างขวางในช่วง 8 เดือนเเรกของสงคราม
โดรนชาเฮด เคยถูกใช้มาเเล้วในเยเมน และในการโจมตีเรือบรรทุกนำ้มันเมื่อปีที่เเล้ว ตามข้อมูลของ บีห์นาม เบน ตาเลบลู นักวิเคราะห์แห่งหน่วยงานคลังสมองในกรุงวอชิงตัน Foundation for Defense of Democracies
การนำ “โดรนพิฆาต” ชนิดนี้มาใช้ในยูเครนเวลานี้มีลักษณะน่าสนใจคือ แม้โดรนชาเฮดจะบินได้ไกล 1,000 กิโลเมตร แต่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโดรน แซเมล เบนเด็ตต์ แห่งองค์กรวิจัยด้านนโยบาย CNA กล่าวว่าระยะบินของโดรนดังกล่าวในสงครามยูเครนสั้นกว่านั้น
เขาอธิบายว่า สาเหตุที่โดรนบินในระยะที่ใกล้กว่าศักยภาพจริง เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการถูกใช้เคลื่อนก่อกวนระบบนำทางจีพีเอสนั่นเอง
รัสเซียใช้โดรนชนิดนี้หลายลำโหมโจมตียูเครน เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงถูกโต้กลับรุนเเรงต่อเครื่องบินรบล้ำสมัย และลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของนักบินด้วย
นอกจากนั้นรัสเซียสามารถเก็บขีปนาวุธพิสัยไกลความเเม่นยำสูงที่มีอยู่อย่างจำกัด ไว้ใช้เมื่อถึงเวลาจำเป็น
สำหรับข้อจำกัดของโดรนชาเฮด มิโคลา เบไลสคอฟ นักวิจัยแห่งสถาบันยุทธศาสตร์ศึกษาของยูเครนกล่าวว่าระเบิดที่นำขึ้นไปกับโดรนจะมีนำ้หนักเพียง 40 กิโลกรัม..
บไลสคอฟ กล่าวว่าปริมาณดังกล่าวถือว่าน้อยมากหากเทียบกับขีปนาวุธแบบปกติ ที่บินได้ไกลกว่ามากและสามารถติดระเบิดได้หนักถึง 480 กิโลกรัม
แต่โดรนชาเฮดยังคงสามารถสร้างความเสียหายที่รุนเเรงและส่งผลถึงขวัญกำลังในทหารยูเครนได้
ในการโจมตีเมื่อวันจันทร์ โดรนลำหนึ่งทิ้งตัวลงไปยังอาคารที่พักอาศัยและทำลายห้องพัก 3 ห้องและทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน
เบไลสคอฟ กล่าวว่าการโจมตีด้วยโดรนชาเฮด สร้างความหวั่นเกรงและความไม่มั่นใจในศักยภาพของระบบป้องกันทางอากาศของยูเครน
อย่างไรก็ตามเขาระบุว่า แม้รัสเซียจะใช้โดรนชนิดนี้จำนวนมาก แต่สิ่งที่รัสเซียไม่ได้กลับคืนมา คือดินแดนที่ยูเครนสามารถรุกคืบเข้าไปได้ในช่วงที่ผ่านมา.
‘
‘โดรนพิฆาตShahed’จากอิหร่าน – อาวุธเด็ดของรัสเซียในสงครามยูเครน
โดรนพิฆาตShahed’จากอิหร่าน – อาวุธเด็ดของรัสเซียในสงครามยูเครน
#โดรนพิฆาต #Shahed #อิหร่าน #อาวุธเด็ดของรัสเซีย #สงครามยูเครน
cr:https://www.voathai.com/a/6795332.html , AP
https://en.defence-ua.com/news/ukrainians_raise_funds_to_buy_a_shahed_hunter-4536
รวมรอบรู้ไฮเทค คลิก
เรือดำน้ำรัสเซียติดหัวรบนิวเคลียร์ ‘โพไซดอน’ แสนยานุภาพสุดสะพรึงขนาดทำให้แผ่นดินไหวได้
อาวุธสุดร้าย ทำลายล้างโลก ของรัสเซีย “โดรนใต้น้ำติดหัวรบนิวเคลียร์” ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือแต่ทดสอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น เผยแสนยานุภาพสุดสะพรึงขนาดทำให้แผ่นดินไหวได้ แล่นได้ไกลถึงอเมริกา..
เมื่อ 24 ส.ค.63 เว็บไซต์เดอะ ซัน รายงาน อาวุธแสนยานุภาพสุดร้ายกาจ โดรนใต้น้ำนิวเคลียร์ เรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ไร้คนขับ ของรัสเซีย ที่ถูกตั้งชื่อให้ว่า ‘โพไซดอน’ (Poseidon) ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยขณะนี้กำลังอยู่ในการทดสอบขั้นตอนสุดท้าย หลังจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียได้เผยโฉม ‘เขี้ยวเล็บ’ อาวุธสุดอันตราย ล่าสุดของกองทัพเรือรัสเซีย ข่มขวัญสหรัฐอเมริกา ชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก เนื่องในวันกองทัพเรือรัสเซีย เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา..
มีรายงานว่า ข้อมูลโดรนใต้น้ำติดหัวรบนิวเคลียร์สุดร้ายกาจ โพไซดอน ของรัฐบาลรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียได้หลุดออกมาถึงมือนักข่าวรัสเซีย ตั้งแต่ปลายปี 2558 ซึ่งขณะนั้น เรียกว่า ‘Ocean Multipurpose System Status-6’ ไม่ใช่ โพไซดอน ซึ่งตามรายงานของสื่อรัสเซีย เผยว่า โดรนใต้น้ำนิวเคลียร์โพไซดอนนี้ สามารถแล่นใต้น้ำด้วยความเร็ว 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถแล่นข้ามทวีป ในระยะทางได้ไกลถึง 10,000 กิโลเมตร อีกทั้งยังสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ขนาด 100 เมกะตัน
นาวาเอก คอนสแตนติด ซิฟคอฟ แห่งกองทัพเรือรัสเซีย กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า โดรนใต้น้ำนิวเคลียร์โพไซดอน อาจทำให้แผ่นเปลือกโลกแยก และสามารถทำลายอนุทวีปอเมริกาเหนือได้ทั้งหมดเลยทีเดียว เนื่องจากการขยับของแผ่นเปลือกโลกนั้นส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวที่สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง โดยนาวาเอกซิฟคอฟ ยังอ้างว่า ตอนนี้ สหรัฐฯ รู้สึกหวาดกลัว และถึงกับเคยเรียกร้องให้รัฐบาลรัสเซียหยุดพัฒนาอาวุธทำลายล้างโลกนี้
cr ภาพ : Moscow Times
cr https://www.thairath.co.th/news/foreign/1917227
https://www.google.com/..ahUKEwiv_Kmg2-P6AhX..
หากรัสเซียใช้อาวุธนิวเคลียร์จะเกิดอะไรขึ้น? ชาติตะวันตกจะรับมืออย่างไร?
ณ วันนี้ที่รัสเซียเพลี่ยงพล้ำอย่างหนักในยูเครนตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ปฏิบัติการโต้กลับของกองทัพเคียฟยังคงดำเนินต่อไป โดยได้รับทั้งเงิน ทั้งอาวุธจากอเมริกาและกลุ่มนาโต้ที่สหรัฐฯเป็นหัวหอกหลัก ทำให้เกิดความกังวลเรื่องก้าวต่อไปของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งดูเหมือนจะเหลือทางเลือกไม่มาก และอาจถึงขั้นตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์..
วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย ออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ 20 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา ประกาศระดมกำลังพลสำรองจำนวน 300,000 นาย ส่งเข้าไปเสริมกำลังในยูเครน และขู่ชาติตะวันตกว่า พร้อมใช้อาวุธทุกอย่างรวมถึงนิวเคลียร์ เพื่อปกป้องดินแดนของประเทศ โดยย้ำว่า “นี่ไม่ใช่คำขู่”
แม้ปูตินระดมทหารส่งเข้าสู่ยูเครนเพิ่ม แต่คาดกันว่า กระบวนการนี้จะใช้เวลานานหลายเดือน ทำให้ยังคงมีความเป็นไปได้ที่เขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี (tactical nuke) ที่มีขนาดเล็กกว่า เพื่อหยุดการสนับสนุนของชาติตะวันตก และสร้างความได้เปรียบทางจิตวิทยา
อะไรจะเกิดขึ้นหากรัสเซียตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาจริงๆ? ชาติตะวันตกจะรับมือกับปัญหาอันซับซ้อนนี้อย่างไร เพราะหากตอบโต้รุนแรงเกินไป ก็อาจทำให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ แต่ถ้าเบาเกินไป ก็อาจทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายยิ่งกว่าตามมา
ตามการวิเคราะห์ของสำนักข่าว วอชิงตัน โพสต์ สื่อใหญ่ของสหรัฐฯ เดิมทีปูตินไม่ได้ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ และไม่อยากให้สงครามในยูเครนยืดเยื้อ แต่เป็นเพราะเขายังชนะไม่ได้ ทำให้เขาอาจตัดสินใจใช้อาวุธมหาประลัยนี้
สำหรับปูติน การใช้อาวุธนิวเคลียร์ไม่ใช่หนทางพลิกจากแพ้เป็นชนะ แต่เป็นการคว้าทางรอดทางการเมืองและทางกายด้วย เพราะไม่เหมือนผู้นำชาติประชาธิปไตยอื่นๆ เขาไม่มีหนทางลงจากอำนาจอย่างสงบสุขหลังสร้างความเสียหายไว้มากมายเช่นนี้ มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ให้เห็นแล้วในราชวงศ์ซาร์ เขารู้ดีว่าไม่มีทางจบสวย
ด้วยเหตุนั้น ปูตินอาจใช้หลักการที่ชาติตะวันตกเรียกว่า ‘บานปลายเพื่อลดการบานปลาย’ (escalate to de-escalate) ใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ในสงครามตามรูปแบบที่ปราศจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ เขาอาจกดระเบิดนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี 1 ลูกหรือมากกว่า โดยนิวเคลียร์ประเภทนี้มีแรงระเบิดพอแค่ทำลายฐานที่มั่นของกองทัพยูเครน หรือศูนย์กลางการขนส่ง แต่เล็กเกินกว่าจะถล่มทั้งเมือง
การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์จะเป็นการส่งสัญญาณว่า ปูตินพร้อมจะทำอีก ซึ่งอาจทำให้กองทัพยูเครนตัดสินใจยอมแพ้ ขณะที่ชาติตะวันตกอาจตัดสินใจถอนตัวจากความขัดแย้ง เพื่อที่เขาจะได้สามารถประกาศชัยชนะ และอยู่ในอำนาจต่อไปได้
แต่ผลที่ตามมาจริงๆ นั้นเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์อาจส่งผลเสียแก่รัสเซียแทน เนื่องจากแนวหน้าการปะทะในยูเครนมีความยาวมาก และทหารเคียฟก็กระจายตัวกันไป ทำให้นิวเคลียร์ทางยุทธวิธีสร้างความเสียหายได้ไม่มากไปกว่าอาวุธตามแบบแผนที่ใช้กันอยู่ การควบคุมกัมมันตภาพรังสีก็ทำได้ยาก และอาจทำร้ายต่อทหารฝ่ายตัวเอง และดินแดนที่ถูกโจมตีด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น การใช้อาวุธนิวเคลียร์จะสร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลก และทำให้สหรัฐฯ นาโต มีมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงยิ่งขึ้นตามมาอย่างแน่นอน ซึ่งอาจทำให้สงครามยืดเยื้อออกไปอีก
ความวุ่นวายที่จะตามมา
จนถึงตอนนี้ อาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ประเทศขนาดใหญ่และมหาอำนาจทางทหารมีในครอบครอง แต่ไม่ใช่สำหรับประเทศขนาดเล็ก แต่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียจะทำลายข้อห้ามยุคสงครามเย็น ที่ห้ามใช้อาวุธนิวเคลียร์นอกจากการป้องปรามเท่านั้น หากรัสเซียรอดไปได้โดยไม่ถูกลงโทษ ก็จะกลายเป็นแบบอย่างให้ประเทศหัวรุนแรงอื่นๆ ทำตาม ขณะที่ชาติซึ่งละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้วอย่างเช่นยูเครน ก็อาจกลับมาสร้างขุมกำลังนิวเคลียร์ของตัวเอง
ตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้วในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นายกรัฐมนตรี คอนราด อเดนอยเออร์ แห่งเยอรมนีมีแผนสร้าง ระเบิดยูโรเปียน ร่วมกับฝรั่งเศสและอิตาลี เพื่อไม่ต้องพึ่งพานิวเคลียร์ของสหรัฐฯ รัฐมนตรีกลาโหมของทั้ง 3 ประเทศถึงกับเคยลงนามข้อตกลงลับร่วมกันในเดือนพฤศจิกายน 2500 แต่โครงการกลับถูกล้มเลิกโดยประธานาธิบดี ชาร์ลส์ เดอ โกล ที่ต้องการให้ฝรั่งเศสมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง
ชาติยุโรปหลายประเทศก็มีการพิจารณาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเยอรมนี, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร หรือแม้กระทั่ง สวีเดน ซึ่งผลการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่า พวกเขาเข้าใกล้การครอบครองอาวุธนิวเคลียร์มากกว่าที่เคยคิดเอาไว้
การละเมิดข้อห้ามเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ จะทำให้มีการพัฒนาระเบิดปรมาณูมากขึ้น และสงครามนิวเคลียร์ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ จะมีโอกาสเกิดสูงขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่ตะวันตก ไปจนถึงเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก
นายแมทธิว โครนิก จากสภาแอตแลนติก คณะวิจัยเก่าแก่เรื่องกิจการระหว่างประเทศในสหรัฐฯ วิเคราะห์ทางเลือกที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกสามารถทำได้เพื่อป้องปรามหรือจำกัดการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย อย่างแรกคือ การยกระดับมาตรการลงโทษมอสโกที่ใช้อยู่ให้รุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว ตัดขาดรัสเซียจากโลกตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่เล็มออก และส่งอาวุธให้ยูเครนมากขึ้น และเพิ่มกองกำลังของนาโตในแนวหน้าฝั่งตะวันออก รวมถึงอาวุธนิวเคลียร์
ปัญหาคือ มาตรการนี้อาจไม่น่ากลัวเพียงพอเปลี่ยนใจปูติน เพราะรัสเซียโดนคว่ำบาตรหนักอยู่แล้ว หากเขาจนตรอกขึ้นมา ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทุ่มหมดหน้าตัก ขณะเดียวกัน แผนการเดียวกันนี้อาจจะดูน้อยเกินไปสำหรับชาวยูเครน ทำให้ชาติพันธมิตรเสียกำลังใจ และเป็นตัวอย่างให้ผู้นำเผด็จการอย่าง คิม จอง-อึน แห่งเกาหลีเหนือเห็นว่า พวกเขาสามารถยิงขีปนาวุธแล้วรอดตัวไปได้
การตอบสนองของชาติตะวันตก โดยเฉพาะลูกพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ต้องเข้มแข็งกว่านี้ โจ ไบเดน มีตัวเลือกทางทหาร 2 ทาง อย่างแรกคือ ยิงมายิงกลับ ขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีลงมหาสมุทรอาร์กติก หรือในพื้นที่รกร้างในไซบีเรีย เพื่อกดดันรัสเซียและสร้างความมั่นใจให้ยูเครนกับพันธมิตร ว่าสหรัฐฯ พร้อมที่จะตอบโต้ และพร้อมที่จะใช้นิวเคลียร์เพื่อการป้องปราม
แต่วิธีนี้จะทำให้เกิดการเผชิญหน้ากัน มีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะยิงนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีตอบโต้กันหลายสิบลูก ซึ่งฝ่ายรัสเซียดูท่าจะได้เปรียบ เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีระเบิดนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ (strategic nuke) ใกล้เคียงกัน แต่มอสโกมีอาวุธประเภทนี้มากกว่าสหรัฐฯ ร่วม 10 เท่า และสถานการณ์อาจบานปลายไปเป็นสงครามนิวเคลียร์
ตัวเลือกทางทหารอีกข้อของไบเดนคือ ยิงนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีใส่ฐานทัพรัสเซียในยูเครน เพื่อบอกปูตินว่า เขาจะใช้หลักการ บานปลายเพื่อลดการบานปลายไม่ได้ เพราะสหรัฐฯ จะขัดขวาง แต่นั่นอาจทำให้เกิดการปะทะกันโดยตรงระหว่างรัสเซียกับนาโต และสุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งจะจบลงด้วยสงครามนิวเคลียร์เช่นกัน
หากไบเดนตัดสินใจเรื่องมาตรการตอบสนองต่อสถานการณ์นิวเคลียร์ในระดับต่างๆ ได้แล้ว คำถามสำคัญคือ เขาจะสื่อสารไปยังปูติน, พันธมิตร, ศัตรู และสังคม อย่างไร? ถ้าไบเดนต้องการป้องปรามการใช้นิวเคลียร์ของรัสเซีย เขาต้องสื่อสารออกมาอย่างเจาะจงชัดเจน ว่าถ้าปูตินทำอย่างนั้น สหรัฐฯ จะตอบโต้แบบนี้ แต่ปัญหาคือไบเดนอาจยอมอ่อนข้อหากการกระทำของปูตินไม่ตรงตามเงื่อนไขที่เขากำหนด
อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ไบเดนชอบใช้ คือการบอกออกไปอย่างกำกวม ซึ่งข้อเสียคือทำให้แม้แต่ชาวยูเครนยังต้องตั้งคำถาม แต่มันอาจทำให้ปูตินต้องคิดเผื่อสถานการณ์เลวร้ายที่สุด..
แสงแห่งความหวัง แม้จะเพียงน้อยนิด
ตอนนี้สงครามในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป และโอกาสที่รัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์สูงกว่าที่ผ่านมา แต่มีแสงแห่งความหวังเกิดขึ้นเล็กน้อย ที่การประชุมสุดยอดในอุซเบกิสถาน เมื่อปูตินพบกับมหามิตรอย่าง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ก่อนที่ผู้นำรัสเซียออกมายอมรับว่า จีนแสดงความกังวลและมีคำถามหลายข้อเกี่ยวกับการทำสงครามของเขาในยูเครน
แถลงการณ์หลังการพบปะของผู้นำทั้งสอง ไม่มีการใช้คำ “มิตรภาพไร้ขีดจำกัด” หรือ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อีกแล้ว” ทำให้ ศ.ชื่อ หยินหง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัย เหรินหมิน ในกรุงปักกิ่ง ออกมากล่าวว่า นี่เป็นแถลงการณ์ที่ระมัดระวังและเงียบเชียบที่สุดในรอบหลายปีของความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซีย
ในยุคสมัยของ สี จิ้นผิง เขาสานความสัมพันธ์กับรัสเซียอย่างใกล้ชิดที่สุด เพื่อสร้างสมดุลกับชาติตะวันตก และมีวิสัยทัศน์ร่วมกันเรื่องการจัดระเบียบโลกใหม่ เพื่อผลประโยชน์ที่มากขึ้นและไม่ถูกครอบงำโดยชาติตะวันตกอีกต่อไป จีนยังให้ความช่วยเหลือรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตรอย่างหนัก ด้วยการซื้อพลังงานและเชื้อเพลิง แต่ไม่สนับสนุนทางทหารโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำบาตร
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอุซเบกิซถาน ทำให้นักวิเคราะห์ชาวจีนหลายคนมองว่า ความเพลี่ยงพล้ำของรัสเซีย กับการยกระดับสงครามของพวกเขา เปิดโอกาสให้จีนเว้นระยะห่างจากรัสเซียบ้าง เช่น ศ.ชื่อ หยินหง กล่าวว่า “จีนไม่มีทางเลือกนอกจากเว้นระยะห่างจากปูตินในระดับหนึ่ง เพราะการยกระดับสงคราม, ความก้าวร้าวและการควบรวมดินแดน และการขู่ทำสงครามนิวเคลียร์ของเขา” “จีนไม่อยากให้เพื่อนผู้ไม่ฟังคำเตือนผู้นี้ไปสู้ ชะตากรรมของเขาในสนามรบไม่ใช่สิ่งที่จีนจะจัดการได้เลย”
การเสียแรงสนับสนุนจากจีน อาจทำให้ปูตินพิจารณาเรื่องการเจรจาเพื่อยุติสงคราม แต่นางเธเรซา ฟอลลอน ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการศึกษารัสเซีย ยุโรป และเอเชีย ในกรุงบรัสเซลส์ ของเบลเยียม เชื่อว่า การเปิดเผยเรื่องความสงสัยของจีน อาจไม่ใช่สัญญาณที่บ่งบอกถึงรอยร้าวของทั้งสองฝ่าย แต่อาจเป็นการเปิดช่องให้จีนมีพื้นที่ทางการทูต โดยเฉพาะในตอนนี้ ที่การสนับสนุนรัสเซียของจีน ทำให้ภาพลักษณ์ของปักกิ่งในยุโรปเสียหายอย่างมาก
“สำหรับผลประโยชน์ในระยะยาวของจีน พวกเขาจะต้องเก็บรัสเซียเอาไว้เป็นพวกต่อไป” นางฟอลลอนกล่าว
เรียบเรียงจาก:https://www.thairath.co.th/news/foreign/2507936
ผู้ชายรัสเซียแห่ออกนอกประเทศ หนีเรียกตัวเป็นทหารสู้ในยูเครน
รัสเซียออกข้อยกเว้นสำหรับบางอาชีพ ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร หลังปูตินสั่งระดมกำลังสำรองเพื่อส่งไปร่วมรบในยูเครน จนทำให้ผู้ชายจำนวนมากพากันหนีออกจากประเทศ..
บีบีซี รายงานว่า กระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศในวันศุกร์ที่ 23 ก.ย. 2565 ให้นายจ้างรวบรวมรายชื่อพนักงานที่เข้าเกณฑ์ถูกเรียกตัวไปเป็นกำลังพลสำรองและส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ ตามคำสั่งของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ที่ต้องการระดมกำลังพลสำรองบางส่วนจำนวน 300,000 นาย เพื่อไปร่วมสงครามในยูเครน..
คำสั่งดังกล่าวส่งผลให้เกิดการประท้วงตามเมืองใหญ่หลายแห่งในรัสเซีย รวมถึงที่กรุงมอสโก และนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีผู้ถูกจับกุมราว 1,300 คน ขณะที่ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ชาย ต่างพากันเดินทางออกจากประเทศทั้งทางอากาศและทางบกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเมื่อวันพฤหัสบดี มีการเผยแพร่ภาพรถเข้าคิวยาวเหยียดที่ชายแดนจอร์เจียด้วย
กระทรวงกลาโหมระบุในวันพุธว่า มีบางอาชีพจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเรียกตัวไปเป็นกำลังสำรอง ได้แก่ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง, อาชีพเกี่ยวกับระบบการเงิน และนักข่าวที่ทำงานให้กับสื่อของรัฐบาล
ขณะเดียวกัน ผู้ประกาศข่าวบางคนในรัสเซีย ซึ่งได้อ่านคำสั่งระดมพลของปูตินพบความเป็นไปได้ว่าจะมีการเรียกตัวมากกว่า 300,000 คน หากจำเป็น โดยมีย่อหน้าหนึ่งในคำสั่งถูกปิดเป็นความลับทั้งหมด ขณะที่นาย ดีมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลเครมลินพูดถึงเรื่องนี้ในวันศุกร์ว่า ย่อหน้านั้นคือจำนวนชาวรัสเซียทั้งหมดที่อาจถูกเกณฑ์เป็นกำลังสำรอง ซึ่งเขาไม่อาจเปิดเผยได้
สื่ออิสระของรัสเซียอย่าง Novaya Gazeta รายงานอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ไม่เปิดเผยชื่อ ว่า ย่อหน้าที่ถูกปิดเป็นความลับ มีเนื้อหาอนุญาตให้เรียกตัวประชาชนเป็นกำลังสำรองได้มากถึง 1 ล้านคน ไม่ใช่ 300,000 คนตามที่เปิดเผยออกมา
นักวิจารณ์หลายคนออกมาแสดงความกังขาเรื่องความน่าเชื่อถือในประกาศของรัฐบาลที่ว่า จะจำกัดการเกณฑ์ทหาร เพราะแค่ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ นายเปสคอฟเพิ่งบอกกับสื่อว่า ไม่มีการหารือเรื่องการเรียกระดมพลในกลุ่มผู้นำของรัสเซีย ขณะที่เริ่มมีรายงานจากหลายพื้นที่ทั่วประเทศว่า ชายรัสเซียที่ไม่เข้าเกณฑ์เป็นกำลังสำรอง กลับถูกผู้บัญชาการทหารท้องถิ่นเรียกตัวไปเป็นทหาร
cr:https://www.thairath.co.th/news/foreign/2508520
https://www.google.com/..%E0%B8%8A%E0%B8%B..